การแย่งของเล่น (Fighting over Toys Issues)
การแย่งของเล่น (Fighting over Toys Issues) หมายถึง การที่เด็กอยากเล่นของเล่นชิ้นเดียวกัน แต่ขาดทักษะในการเล่นร่วมกันกับผู้อื่น หรือทักษะในการแบ่งปัน จึงเกิดการยื้อแย่งเพื่อให้ได้ของเล่นชิ้นนั้นมาครอบครอง ทั้งนี้เพราะ เด็กกับของเล่นเป็นของคู่กัน การแบ่งของเล่นและการแย่งของเล่นเองก็เป็นของคู่กัน ดังนั้น เด็กที่แย่งของเล่นกันจึงไม่จัดว่าเป็นเด็กที่มีความผิดปกติแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่าพฤติกรรมการแย่งของเล่นดังกล่าวเกินกว่าระดับที่พ่อแม่จะหยุดยั้งได้ และพฤติกรรมที่เหมาะสมไม่สามารถได้รับการปลูกฝังแทนที่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่ปัญหาการแย่งของเล่นต้องได้รับการแก้ไขตั้งแต่เด็กเริ่มเรียนรู้การเล่นร่วมกับผู้อื่น เพื่อเปลี่ยนจากการแย่งกัน ซึ่งมักนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ให้กลายเป็น “การแบ่งปัน” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กไปได้ตลอดชีวิต เพราะเด็กทุกคนจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อให้เข้าใจโลกใบนี้และเพื่อเติบโต เด็กต้องเรียนรู้สิ่งของต่างๆ รอบตัว รวมถึงผู้คนรอบข้าง เพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และจริยธรรม ซึ่งบทเรียนเหล่านั้น เด็กสามารถได้รับจากการเล่น “ของเล่น” และการเล่นของเล่นร่วมกับเพื่อนๆ
เด็กที่มีปัญหาการแย่งของเล่นมีลักษณะอย่างไร?
เด็กที่มีปัญหาการแย่งของเล่นในระดับที่รุนแรงอาจมีแนวโน้มดังต่อไปนี้
· มีลักษณะเห็นแก่ตัว
· หวงของเล่นอย่างมาก โดยอาจเป็นเพราะของเล่นชิ้นดังกล่าวมีความสำคัญต่อเด็กมากเป็นพิเศษ หรือหวงเพราะความเป็นเจ้าของ
· ไม่คุ้นเคยกับการแบ่งปัน เนื่องจากเป็นลูกคนเดียว หรือไม่ได้รับการปลูกฝังหรือฝึกฝนให้แบ่งปันอย่างเหมาะสม
· ขาดความอดทน
· ใจร้อน ขี้หงุดหงิด
· ไม่ชอบการเล่นร่วมกับผู้อื่น หรือการเข้าสังคม
· ชอบเอาชนะ ชอบการแข่งขันและความท้าทาย
· อยู่ในครอบครัวที่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัด จึงทำให้เด็กกลัวการทำของหาย ในทางกลับกัน เด็กอาจเลือกที่จะเป็นฝ่ายแย่งของเล่นจากเพื่อน ทั้งนี้เพราะขาดอิสระในการทำสิ่งที่อยากทำเมื่ออยู่ที่บ้าน
· อยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง จึงซึมซับการใช้ความรุนแรง และนำมาใช้ในการโต้ตอบปัญหา
· มีญาติพี่น้องในวัยเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกัน และมีการแข่งกับพี่น้อง
· ชอบเรียกร้องความสนใจ โดยอาจเกิดจากการขาดความอบอุ่น หรือพ่อแม่ไม่สนใจเท่าที่ควร
· ขาดทักษะในการใช้เหตุผลเพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา
· ขี้อิจฉา
· มีนิสัยก้าวร้าวอันเกิดจากภาวะความเครียด เศร้า ไม่มีความสุข รวมถึงมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์โกรธ
ปัญหาการแย่งของเล่นมีสาเหตุมาจากอะไร?
สาเหตุที่ทำให้เด็กทะเลาะกันเพื่อแย่งของเล่นกันนั้น ได้แก่
· เด็กอยากเล่นของเล่นชิ้นเดียวกัน แต่ขาดทักษะในการเล่นร่วมกันกับผู้อื่น หรือทักษะในการแบ่งปัน
· การแข่งกับพี่น้อง ซึ่งเด็กอาจรู้สึกอิจฉาพี่น้องคนอื่น หรือไม่ชอบใจที่พี่หรือน้องได้สิ่งที่ตนต้องการ โดยเห็นว่าเมื่อแย่งของเล่นมาได้แล้ว ของเล่นชิ้นนั้นก็จะตกมาเป็นของตน
· ความต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่
· เด็กขาดการแนะนำที่ถูกต้อง หรือผู้ปกครองเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น ผู้ปกครองไม่ได้ห้ามปรามเมื่อเห็นเด็กแย่งของเล่นผู้อื่น เด็กจึงคิดว่าการแย่งของเล่นไม่ใช่เรื่องผิด หรือในกรณีที่พ่อแม่ทำโทษเด็กที่แย่งของเล่นด้วยกำลังแทนที่จะใช้เหตุผล เด็กก็อาจไม่เข้าใจเหตุผลของการทำโทษที่แท้จริง อีกทั้งยังอาจซึมซับนิสัยการใช้กำลังจากผู้ปกครองได้อีกด้วย
· ความต้องการควบคุมทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งเด็กไม่สามารถควบคุมอะไรอื่นได้นอกจากของเล่นที่ตนเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองก็ต้องสอนความจำเป็นในการแบ่งปันให้แก่เด็ก ซึ่งอาจทำให้เด็กไม่เต็มใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถในการควบคุมแม้กระทั่งของของตนเอง
· การแสดงความเป็นเจ้าของ โดยเด็กจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทันทีที่คนอื่นมาหยิบของเล่นไป ถึงแม้จะไม่ได้อยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นก็ตาม
· เด็กจะแย่งของเล่นตราบเท่าที่เด็กคนอื่นแสดงพฤติกรรมลักษณะเดียวกันกับตน ทั้งนี้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
· พฤติกรรมก้าวร้าว อันเกิดจากถูกข่มขู่ ล้อเลียน จนทำให้รู้สึกโกรธหรือรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่า เด็กจึงตอบโต้ด้วยพฤติกรรมก้าวร้าว
ปัญหาการแย่งของเล่นมีความสำคัญอย่างไร?
“ของเล่น” ช่วยให้เด็กพัฒนากล้ามเนื้อและการทำงานประสานกันของอวัยวะ รวมไปถึงทำให้เด็กฝึกฝนจินตนาการและสร้างความเพลิดเพลินให้กับตัวเองอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นใจของเด็ก ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่เด็กสามารถเล่นของเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงยังเป็นแหล่งกำเนิดความสุขของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ปกครองให้ความสนใจกับเด็กและสิ่งที่เด็กเล่น หรือแม้กระทั่งเข้ามามีส่วนร่วมในการเล่นด้วย เด็กจะยิ่งรู้สึกได้ว่าตนเป็นที่รักและมีคุณค่า การเล่นของเล่นยังเปรียบเสมือนรากฐานของมิตรภาพ เด็กมักจะสนิทกันได้ง่ายขึ้นด้วยของเล่น พูดคุยกันได้สนุกมากขึ้นเมื่อพูดถึงของเล่น อีกทั้งของเล่นบางประเภทต้องเล่นเป็นกลุ่ม ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เด็กได้ใกล้ชิดกับเพื่อน รวมถึงเรียนรู้การเข้าสังคม โดยของเล่นสามารถสอนให้เด็กเข้าใจความขัดแย้งและการยอมรับ การแบ่งปันและการถูกลงโทษ เด็กมักแย่งของเล่นกันเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งสาเหตุของการเล่นอย่างก้าวร้าวนั้น บางครั้งอาจเกิดจากการที่เด็กได้รับการเสริมแรงพฤติกรรมก้าวร้าวมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เด็กคนหนึ่งอาจผลักเพื่อนล้มลงแล้วแย่งของเล่นไปได้ ในขณะที่เด็กฝ่ายถูกกระทำได้แต่ร้องไห้แล้วเดินจากไป เด็กคนที่เป็นฝ่ายรังแกจึงรู้สึกว่าตนสามารถประสบความสำเร็จได้โดยง่ายด้วยการใช้พฤติกรรมรุนแรง เป็นต้น ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เนิ่น เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ได้เร็วที่สุด
หากการแย่งของเล่นและการทะเลาะกันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อาจเป็นสัญญาณเตือนสำหรับปัญหาอื่นที่เด็กกำลังเผชิญอยู่ อาทิเช่น เด็กอาจตกอยู่ในภาวะความเครียด เศร้า ไม่มีความสุข รวมถึงมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์โกรธ นอกจากนี้อาจเกิดจากการที่เด็กได้เห็นและซึมซับการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ทั้งจากที่บ้าน โรงเรียน หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ เด็กเป็นเหยื่อของการทารุณจากคนรอบข้างเสียเอง ถึงแม้ปัญหาการแย่งของเล่นจะหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น แต่การใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับความรุนแรง หรือการไม่รู้จักหลักที่แท้จริงของการแบ่งปันย่อมเป็นสาเหตุของปัญหาอีกมากมาย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเด็กได้ในระยะยาว
รายงานระบุว่าเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวตั้งแต่ยังเล็ก จะมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อโตขึ้นต่อไป ดังนั้นหากเด็กยังคงแย่งของเล่นอย่างรุนแรงโดยไม่ลดหรือเลิก ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อจัดการปัญหาไม่ให้ทำร้ายทั้งตัวเด็กและผู้อื่นมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
พ่อแม่ ผู้ปกครองจะช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
· การเล่นของเล่นร่วมกับผู้อื่นของเด็กหลายๆ คนมักจะลงเอยด้วยการทะเลาะกัน แม้ว่าจะเป็นการเล่นระหว่างกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันก็ตาม ทั้งนี้เพราะเด็กยังขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง (Impulse Control) ดังนั้น พ่อแม่จึงควรส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้การแบ่งปัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกมีพัฒนาการทางสังคมอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น ซึ่งผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือลูกได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
· เตรียมลูกให้พร้อมกับการเล่นร่วมกับผู้อื่นด้วยกิจกรรมที่ต้องผลัดกันเล่น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเรียนรู้ความสำคัญของความตรงไปตรงมา และเข้าใจว่าตนย่อมได้สิทธิ์ในการเล่นอีกครั้งเพียงแต่ต้องรู้จักอดทนและรอ โดยพ่อแม่สามารถทำให้การรอคอยและการแบ่งปันเป็นเรื่องน่าสนุกได้ด้วยการแสดงความกระตือรือร้นในระหว่างที่รอให้ถึงตาตัวเอง
· จัดให้ลูกได้เล่นกับเพื่อนคนอื่นตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงวัยและพัฒนาการทางสังคมของเด็ก เริ่มจากในขณะที่ยังเล็ก ซึ่งลูกสามารถได้รับประโยชน์จากการเล่นคนเดียวหรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับเพื่อนที่เล่นในสิ่งเดียวกัน แล้วจึงจะสามารถเล่นร่วมกันกับผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตาม การจับให้ลูกเล่นร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่ต้นอาจนำไปสู่ปัญหาการทะเลาะกัน เนื่องจากเด็กยังไม่พร้อมในการแบ่งปัน ดังนั้นหากพ่อแม่เห็นว่าลูกยังไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเล่นกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ได้ ควรเริ่มจากการให้ลูกเล่นกับเพื่อนเพียง 1-2 คน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นไป
· เตรียมลูกให้พร้อมด้วยการบอกล่วงหน้า โดยเมื่อเวลามีแขกหรือเด็กคนอื่นเข้ามาในบ้าน ลูกอาจกังวลว่าเด็กคนอื่นจะทำให้ของเล่นของตนเสียหาย หรือขโมยของเล่นของตนไป ดังนั้น หากลูกมีความมั่นใจว่าของเล่นทุกชิ้นอยู่ในสายตาของตน ความเป็นไปได้ที่ลูกจะยินยอมให้เพื่อนเล่นของเล่นด้วยย่อมมีมากขึ้น
· คอยดูแลความเรียบร้อยในขณะที่ลูกกำลังเล่น ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ปกครองสามารถสังเกตพฤติกรรมการเล่นของลูกได้แล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งเมื่อลูกรู้ว่าผู้ปกครองคอยสังเกตอยู่ ลูกมักมาขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง มากกว่าเลือกที่จะทะเลาะกับเพื่อน หรือแย่งของเล่นคืนจากเพื่อน
· สอนลูกทันทีที่เห็นลูกแย่งของเล่นจากเพื่อน โดยถือเป็นการแสดงให้ลูกเห็นอย่างชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผู้ปกครองควรหยิบของเล่นออกจากมือลูก แล้วยื่นกลับไปให้เพื่อนของลูก พร้อมทั้งย้ำเตือนว่าลูกควรแบ่งปันผู้อื่นอย่างหนักแน่นและคงเส้นคงวา
· ยึดของเล่นชิ้นปัญหา หากเด็กยังคงทะเลาะกัน หรือลูกยังคงแย่งของเล่นคืนจากเพื่อน หลังจากที่ผู้ปกครองได้ตักเตือนลูกแล้ว นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังควรกล่าวขอโทษเพื่อนของลูก ซึ่งจะเป็นการสอนลูกให้เห็นความจำเป็นที่ลูกต้องแบ่งปันได้อย่างชัดเจน แม้ไม่ต้องพูดกับลูกโดยตรง
บทความโดย : ปัณณ์พัฒน์ จันทร์สว่าง และตรวจสอบโดยบรรณาธิการบทความด้านจิตวิทยา: ดุสิดา ดีบุกคำ ศศ.ม. (จิตวิทยาพัฒนาการ)
Credit: http://taamkru.com %99/
หน้าที่เข้าชม | 195,415 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 111,836 ครั้ง |
เปิดร้าน | 6 ก.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |