ในช่วงที่ผ่านมา ทีมงานได้รับคำถามเกี่ยวกับอาการผิดปกติของตาในเด็กจากคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน วันนี้เราจึงมีบทความดีๆ จาก พ.อ.นพ.ขรรค์ชัย จ๋วงพานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา โรงพยาบาลเวชธานี ที่จะมาช่วยไขข้อข้องใจให้กับพ่อแม่กันค่ะ ส่วนอาการผิดปกติจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยค่ะ
เด็กจะมีพัฒนาการของสายตา เริ่มตั้งแต่ภายหลังคลอดจนสมบูรณ์เมื่ออายุประมาณ 9 ขวบ พัฒนาการที่สมบูรณ์คือ การมองภาพด้วยตาสองข้างได้ชัดและเป็นสามมิติ หรือรู้ความตื้นลึกได้ ถ้ามีโรคที่จะขัดขวางพัฒนาการของสายตาจึงต้องรักษาแต่เนิ่นๆ หากทิ้งไว้จนเด็กโตมากและหยุดพัฒนาการไปแล้ว จะทำให้ไม่มีการมองภาพเป็นสามมิติ หรืออาจเลวร้ายกว่านั้น คือเกิดภาวะตาขี้เกียจ ภาวะการมองภาพด้วยตาข้างเดียว
โรคตาอะไรบ้างที่พบได้ในเด็ก
โรคตาที่พบบ่อยในผู้ใหญ่หลายโรคก็พบในเด็กได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ซึ่งต้องรีบให้การรักษาด้วยการผ่าตัด แต่มีอีกหลายโรคที่มักพบเฉพาะในเด็ก ความผิดปกติที่เมื่อพบแล้วควรพาเด็กมาพบแพทย์ ได้แก่ หนังตาตก ลูกตาโตไม่เท่ากัน ลูกตาโตหรือเล็กมากทั้งสองข้าง ตาเหล่ ลูกตาสั่น ตาสู้แสงไม่ได้ มีน้ำตาไหลเรื้อรัง เด็กชอบหยีตา คอเอียง มองวัตถุต้องหน้าเข้าไปใกล้มาก ทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักแรกคลอดน้อย ทารกที่พ่อหรือแม่เคยมีเนื้องอกของจอประสาทตาชนิด เรติโนบลาสโตมา (Retinoblastoma) เป็นต้น
หนังตาตก อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ผู้ป่วยบางรายจะแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้มองภาพได้ถนัด หากหนังตาตกมากจนบังรูม่านตาจะทำให้มองไม่เห็น เกิดตาขี้เกียจได้ การรักษาทำโดยการผ่าตัดยกหนังตาขึ้น รายที่ตกลงมามากจะต้องรีบผ่าตัด แต่ถ้าตกไม่มากไม่บังการมองเห็นผ่าตัดเมื่อโตขึ้นได้
ท่อน้ำตาอุดตัน เกิดจากทางเดินท่อน้ำตาที่ต้องเปิดให้น้ำตาไหลลงไปในโพรงจมูกได้เกิดการอุดตันขึ้น และอาจมีการติดเชื้อเป็นถุงน้ำตาและเยื่อบุตาอักเสบในบางราย ส่วนใหญ่ท่อน้ำตาที่อุดตันนี้จะเปิดออกและหายเป็นปกติก่อนเด็กมีอายุ 1 ขวบ ผู้ปกครองควรพาเด็กมาพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อการวินิจฉัยว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตันจริงหรือไม่ เพราะอาการน้ำตาไหลอาจเป็นอาการของโรคต้อหินในเด็กก็ได้ หากเป็นท่อน้ำตาอุดตัน จะต้องเรียนรู้การดูแลรักษาและนวดถุงน้ำตา ในรายที่ไม่หายหลังอายุ 1 ขวบไปแล้ว จะต้องรักษาโดยการแยงท่อน้ำตาให้เปิดออก แต่ถ้าทิ้งไว้จนถึงอายุ 2 หรือ 3 ขวบแล้ว จะต้องผ่าตัดสร้างทางเดินน้ำตาขึ้นใหม่ ซึ่งจะทำยากกว่าการแยงท่อน้ำตา
ตาเข เป็นอาการที่ตาสองข้างไม่มองไปในแนวเดียวกัน อาจเป็นแบบตาเขด้านใน เขออกนอก เขขึ้น เขลง บางครั้งอาจพบอาการที่ใบหน้าไม่ตรง เช่น ผู้ป่วยชอบแหงนหน้า ก้มหน้า หรือ เอียงใบหน้า เอียงคอ เพื่อให้มองไปข้างหน้าถนัด ไม่เกิดภาพซ้อน บางครั้งจะมีคำศัพท์เรียกอาการนี้ว่า ตาส่อน ตาเอก ตาเหล่ ซึ่งก็คือตาไม่มองไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันทีที่พบอาการนี้ เพราะอาการตาเขอาจเป็นอาการแรกของโรคที่อันตรายกว่าได้ เช่น มะเร็งจอประสาทตาชนิดเรติโนบลาสโตมา หรือโรคจอประสาทตาอื่นๆ โรคต้อกระจก สาเหตุส่วนใหญ่ของตาเข เกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อรอบๆ ลูกตา อัมพาตของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อ ภาวะสายตาผิดปกติ การรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของตาเข และสาเหตุ เช่น การใช้แว่นสายตา แว่นปริซึม การฝึกเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อตา และการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา หากผู้ป่วยมีตาขี้เกียจร่วมด้วยต้องรักษาตาขี้เกียจไปพร้อมกัน การรักษาที่ได้ผลคือ ตากลับมาตรง และใช้ตาสองข้างมองภาพพร้อมกันได้ และที่ดีที่สุดคือ มองภาพเป็นสามมิติได้
ตาขี้เกียจ เป็นคำแปลมาจากชื่อโรค Lazy Eye คือตามองได้ไม่ชัดเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากไม่ได้ใช้สายตาข้างนั้นเป็นเวลานานในช่วงที่เด็กกำลังมีพัฒนาการทางสายตา เช่น ตาข้างนั้นมีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง ต่างไปจากข้างที่ดีมากๆ ภาวะหนังตาตกที่บังรูม่านตา ตาเขแบบที่ไม่ใช้สายตาสลับข้างกันเลย ต้อกระจกในตาข้างเดียว เป็นต้น การรักษาจะต้องแก้ไขโรคที่เป็นสาเหตุของตาขี้เกียจก่อน แล้วกระตุ้นให้มีการใช้งานมากขึ้น โดยต้องปิดตาข้างที่ดี หรือใช้ยาหยอดตาให้ตาข้างที่ดีมัวลง การกระตุ้นนี้ทำได้ในช่วงที่ยังมีพัฒนาการมองเห็นได้ คือก่อนอายุ 9 ขวบ และยิ่งอายุมาก การกระตุ้นจะยากมากขึ้นด้วย
สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ในเด็กที่เป็นทั้งสองตามักวินิจฉัยได้เร็ว อาจพบว่าเด็กชอบหยีตาเข้าไปดูโทรทัศน์ใกล้มากๆ เป็นต้น แต่หากเป็นตาเดียว หรือข้างที่เป็นน้อยกว่ายังมองชัดดี ก็อาจตรวจพบช้า ข้างที่แย่กว่าจะเกิดภาวะตาขี้เกียจด้วย การวัดกำลังค่าสายตาในเด็กต้องหยอดยาลดการเพ่งก่อน และการประกอบแว่นต้องมีการปรับกำลังให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบายตาด้วย
โรคจอประสาทตาในทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักน้อย เกิดจากการเจริญของจอประสาทตาที่ยังไม่สมบูรณ์ขณะคลอด อาจทำให้เกิดจอประสาทตาลอกหรือตาบอดได้ ทารกน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 1,500 กรัม หรืออายุครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจตาเพื่อเฝ้าระวังโรคนี้ และตรวจติดตามเป็นระยะจนกระทั่งปลอดภัย หากตรวจพบก็สามารถรักษาด้วยการฉายแสงเลเซอร์ได้
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ เด็กจะมีอาการคันตา ชอบขยี้ตา ตาแดง มีน้ำตาไหล บางครั้งมีหนังตาบวม หนังตามีสีคล้ำ ถ้ามีการติดเชื้อร่วมด้วย ก็จะมีขี้ตาข้น อาจพบร่วมกับภูมิแพ้ระบบอื่นๆ เช่น จมูก หลอดลม ทางเดินอาหาร ผิวหนัง การรักษาต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ลดการสะสมฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ เป็นต้น โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง จึงควรเรียนรู้และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ยาหยอดสเตียรอยด์ แต่หากจำเป็นต้องใช้ต้องรับการตรวจเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนด้วย
บทความโดย: พ.อ.นพ.ขรรค์ชัย จ๋วงพานิช
credit: http://www.manager.co.th/
หน้าที่เข้าชม | 195,415 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 111,836 ครั้ง |
เปิดร้าน | 6 ก.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |